ผู้สูงอายุท่านใดเคยมีอาการแบบนี้กันบ้างไหมครับ?

  • ขี้หลงขี้ลืม ถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ
  • มีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ
  • จำชื่อคนหรือชื่อสถานที่ไม่ได้ 
  • บวกลบเลขง่ายๆ ไม่ได้
  • หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ หลายคนอาจคิดว่าเป็นอาการปกติทั่วไปของผู้สูงอายุ แต่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนของโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุได้ครับ

โรคสมองเสื่อม” ถือเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และยังเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทยเราด้วยครับ โดยในปี พ.ศ.2562 พบว่าคนไทยมีภาวะสมองเสื่อมประมาณ 6 แสนคน ทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า อีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2582) อาจมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คือ 1.2 ล้านคน และเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 ล้านคน หรือประมาณ 3 เท่า ในอีก 40 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2602)   

โรคสมองเสื่อม พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และเมื่ออายุมากขึ้นโอกาสเกิดโรคก็จะยิ่งมีมากขึ้นตามไปด้วย

อายุ 80 – 84ปี อัตราการเกิดใน  เพศหญิง 16%                เพศชาย9.8%

อายุ 85 – 89 ปี อัตราการเกิดใน เพศหญิง 27.20%           เพศชาย15 %

อายุ 90 ปีขึ้นไป อัตราการเกิดใน เพศหญิง 54.90%      เพศชาย 26.40 % 

สาเหตุสำคัญของโรคสมองเสื่อม

มีการศึกษาพบว่า 70% ของผู้ป่วย มีสาเหตุมาจาก โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) ซึ่งโรคอัลไซเมอร์นั้น ทำให้เกิดเซลล์ประสาทสมองตายเป็นจำนวนมาก (โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด) ส่งผลให้ความสามารถของสมองลดลง โดยเฉพาะในเรื่องของการจดจำ ความรอบรู้ ความเฉลียวฉลาด และการคิดอย่างมีเหตุผลลดน้อยลง ฯลฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ยังพบว่ามีสาเหตุอื่นๆ ดังนี้

  1. สมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง เช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  2. ความดันในสมองสูงจากการมีเลือดคั่งในสมอง หรือเนื้องอกในสมอง ทำให้มีพฤติกรรม ความคิด หรือการตัดสินใจผิดปกติ
  3. ขาดวิตามินบี 12 ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง
  4. มีภาวะพร่องหรือขาดฮอร์โมนไทรอยด์
  5. การติดเชื้อที่มีผลทางสมอง เช่น ซิฟิลิส ไวรัสสมองอักเสบ และไวรัสเอดส์ ทำให้เซลล์สมองตาย และเกิดภาวะสมองเสื่อม
  6. การติดสุราเรื้อรังเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม
  7. ภาวะที่เกิดขึ้นภายหลังการขาดออกซิเจน เช่น มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นเวลานานๆ หรือมีอาการชักซ้ำติดต่อกัน
  8. โรคพาร์กินสันทำให้เกิดสมองฝ่อบางส่วน ผู้ป่วยมีอาการสั่น และเคลื่อนไหวช้า

“สมองเสื่อม” ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่บั่นทอนคุณภาพชีวิตทุกด้าน

อาการของผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม ในระยะแรก จะยังไม่ชัดเจนมากนัก ทำให้ตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้างไม่ทันสังเกต เช่น จำชื่อคนหรือชื่อสถานที่ไม่ได้ บวกลบเลขง่ายๆ ไม่ได้ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

ระยะต่อมา ผู้ป่วยจะค่อยๆ ลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน หลงทาง กลับบ้านไม่ถูก จำหน้าคนคุ้นเคยไม่ได้ จนกระทั่งเริ่มทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองไม่ได้ เช่น ลืมวิธีแปรงฟัน – หวีผม ลืมชื่อสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ จำไม่ได้ว่าสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าเรียกว่าอะไร อีกทั้งยังพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการกินอาหาร บางคนลืมหิว บางคนกินไม่รู้จักอิ่ม กินแล้วยังบอกว่าไม่ได้กิน เป็นต้น

ด้านอารมณ์ มักพบว่าผู้ป่วยมีนิสัยเปลี่ยนแปลง ก้าวร้าว หยาบคาย หลงผิด ฝังใจกับเรื่องที่คิดขึ้นมาเอง เช่น คิดว่าคนในบ้านขโมยของ คิดว่าจะมีคนมาทำร้าย ประสาทหลอน บวกกับมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย บางคนซึมเศร้า บางคนหัวเราะง่าย เวลาในการนอนเปลี่ยนแปลง มักนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้าน และอาจกลายเป็นปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าคนในบ้านไม่เข้าใจ

เมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะเริ่มพูดจาสั้นๆ ซ้ำๆ บางคนไม่พูด ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนดูแลตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกิจวัตรประจำวัน การกินอยู่หลับนอน ต้องนอนติดเตียง ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาอีกมากมาย เช่น ปอดอักเสบจากการสำลักอาหาร ข้อยึดติด และมีแผลกดทับ เป็นต้น 

แม้โรคสมองเสื่อมจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่เป็นโรคที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตในหลายๆ ด้านครับ เนื่องจากเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานใช้ชีวิตอยู่กับโรคนี้ไปตลอดชีวิต บางคนอาจนานถึง 10 – 20 ปี โดยต้องพึ่งพาคนรอบข้างในการดูแลไปตลอด และยังพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่อาการจะแย่ลงเรื่อยๆ  จึงเสี่ยงต่อการถูกทอดทิ้ง ไม่มีผู้ดูแล

เราสามารถชะลอโรคได้ แต่รักษาไม่หายขาด

โรคสมองเสื่อม โดยส่วนใหญ่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ (ยกเว้นสมองเสื่อมที่มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน, การขาดไทรอยด์ฮอร์โมน, เนื้องอกในสมองบางชนิด, การมีน้ำคั่งในสมอง) ดังนั้น วิธีการรักษาในปัจจุบันจะเน้นชะลอการดำเนินไปของโรค เช่น การใช้ยา รวมถึงการบำบัดทางด้านพฤติกรรมและจิตใจ โดยยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยอาจใช้ร่วมกันหลายชนิด ทั้งยารักษาโรคสมองเสื่อมเอง บวกกับยารักษาโรคซึมเศร้า และยารักษาโรคทางจิตเวช ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยและพิจารณาเป็นรายๆไป

อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยและอยากทราบถึงวิธีการป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุกันแล้ว แต่เนื่องจากเรายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ประสาทสมอง เช่น โรคอัลไซเมอร์ ดังนั้น การป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุจึงทำได้เพียงการลดปัจจัยเสี่ยงที่มีความสัมพันธ์กับโรคสมองเสื่อม เช่น การออกกำลังกาย และทำกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ มีการเล่นเกม มีการฝึกสมอง รวมถึงการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น

แนวทางป้องกันโรคสมองเสื่อม ช่วยสมองความจำดีขึ้น

  1. หลีกเลี่ยงการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น และเลี่ยงการดื่มสุราจัด เพราะอาจเกิดอันตรายต่อสมองได้
  2. ผู้สูงอายุ ควรมีการฝึกฝนสมองหรือออกกำลังกายสมอง ได้แก่ พยายามฝึกให้สมองได้คิดบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ เขียนหนังสือบ่อยๆ คิดเลข ดูเกมตอบปัญหา ฝึกหัดการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น สมาร์ทโฟน เป็นต้น 
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 – 5 ครั้ง เช่น วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน เดินเล่น รำมวยจีน เป็นต้น
  4. การพูดคุย พบปะผู้อื่นบ่อยๆ เช่น ไปวัด ไปงานเลี้ยงต่างๆ หรือเข้าชมรมผู้สูงอายุ เป็นต้น
  5. ระมัดระวังเรื่องอุบัติเหตุต่อสมอง รวมถึงระวังการหกล้ม
  6. พยายามไม่คิดมาก ไม่เครียด หากิจกรรมต่างๆ ทำเพื่อคลายเครียด เนื่องจากความเครียด และอาการซึมเศร้าอาจทำให้จำอะไรได้ไม่ดี
  7. รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดทั้งหลาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน โดยการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินตั้งแต่วัยหนุ่มสาว
  8. ควรมีการตรวจสุขภาพประจำปี ถ้ามีโรคประจำตัวอยู่เดิมก็ต้องติดตามการรักษาเป็นระยะ เช่น การตรวจหา ดูแลและรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น
  9. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงและดูแลสมอง เพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ยกตัวอย่างเช่น
    • อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี อย่าง น้ำมันมะกอก เมล็ดถั่วและธัญพืช ซึ่งจะประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์สมองและระบบประสาท
    • กินปลาเป็นหลัก โดยเฉพาะปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่าง ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแมคคาเรล ซึ่งกรดไขมันโอเมก้า 3 นั้น มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะส่วนของความจำและการเรียนรู้
    • ผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี่ คะน้า ผักโขม เป็นแหล่งของวิตามินอีและมีโฟเลทสูง ช่วยบำรุงสมอง

ถ้าทุกคนสามารถดูแลและปฏิบัติตัวได้แบบนี้ ต่อให้อายุมากแค่ไหน ก็ห่างไกลโรคสมองเสื่อมแน่นอนครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย

https://thaitgri.org/?p=38965

สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม

http://www.azthai.org

คลังความรู้สุขภาพกระทรวงสาธารณสุข

http://healthydee.moph.go.th/

https://www.newtv.co.th/news/12211

https://weareyounging.com

บทความอื่นๆ

ปัญหาท้องอืด เอลเดอร์เชื่อว่าหลายๆคนประสบปัญหาเหล่านี้อยู่เป็นประจำ ดังนั้นสูงวัยมาทำความเข้าใจถึงต้นเหตุของปัญหาท้องอืด และมาร่วมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารกันครับ
ภาวะเลือดเป็นกรดในผู้สูงอายุ เอลเดอร์เชื่อว่าหลายท่านคงยังไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ แต่โรคนี้เป็นโรคอันตรายใกล้ตัวอย่างมากที่ผู้สูงอายุไม่ควรละเลย
error: Content is protected !!
Scroll to Top