“โรคเบาหวาน” อีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่คนไทยเป็นกันมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักจะพบว่ามีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัว ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เนื่องจากการที่ร่างกายไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการกับความเครียด ร่วมกับการรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยเบาหวาน รวมถึงผู้ที่ต้องการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากเบาหวาน ต่างก็แสวงหาผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเพื่อต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะกลุ่มสมุนไพรที่ได้รับความสนใจอย่างมาก ไปดูกันครับว่า 5 สมุนไพรต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด มีอะไรบ้าง
1. มะระขี้นก
“มะระขี้นก” สมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์หลากหลาย ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยระบุว่า สามารถนำมารับประทานเป็นอาหารและเป็นยารักษาโรคได้ โรคเบาหวานก็เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันมีผลการศึกษาวิจัยหลายฉบับทั้งในสัตว์ทดลองและในผู้ป่วยเบาหวาน ยืนยันว่า สารซาแรนทิน (Charantin) ซึ่งเป็นสารรสขมที่พบในมะระขี้นก สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้จริง โดยช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ลดการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่เซลล์บริเวณผนังลำไส้เล็ก ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และเสริมการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด
ทั้งนี้ จากการติดตามผลการใช้มะระขี้นกขนาด 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 6 เดือน ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง และไม่พบความเป็นพิษต่อตับ จึงสามารถมั่นใจได้ว่า การใช้มะระขี้นก ทั้งเป็นอาหารหรือเป็นยาในการป้องกันหรือรักษาโรคเบาหวานนั้นมีความปลอดภัย และมีรายงานอีกว่า มะระขี้นกสามารถชะลอการเกิดต้อกระจก, ความผิดปกติของไต และการเสื่อมของเส้นประสาทซึ่งเป็นผลมาจากการที่หรือไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลเลือดให้ปกติได้ด้วยครับ
สำหรับการใช้มะระขี้นกเป็นสมุนไพรต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ให้เน้นการรับประทานเป็นอาหาร เพราะจะได้ทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ รวมถึงไฟเบอร์ ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายด้วย ตัวอย่างเมนูอาหารที่แนะนำ เช่น ต้มจืดมะระขี้นก, ยำมะระขี้นก, มะระขี้นกผัดไข่ ฯลฯ ส่วนเครื่องดื่มที่แนะนำ คือ น้ำมะระขี้นกปั่น เป็นต้น
2. ผักเชียงดา
“ผักเชียงดา หรือผักจินดา” เป็นผักพื้นบ้านที่พบมากในภาคเหนือของประเทศไทย ลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย ใบอ่อนและยอดอ่อนสามารถนำมาประกอบอาหารได้ ทั้งผัดใส่ไข่, ใส่ในแกง หรือเป็นผักลวกจิ้มน้ำพริก
ในผักเชียงดามีสาร Gymnemic Acid ซึ่งเป็นสารสำคัญในกลุ่มไตรเทอร์ปีนซาโปนิน มีฤทธิ์ยับยั้งการขนส่งน้ำตาล ชะลอการดูดซึมน้ำตาลบริเวณลำไส้เล็ก ช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซมเบต้าเซลล์ในตับอ่อน กระตุ้นให้มีการหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้น้ำตาลในเลือดลดลง
ภาพจาก : https://health.kapook.com/view202278.html
ด้านคุณสมบัติในการต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาทางคลินิกในอาสาสมัครปกติ พบว่า หลังการให้อาสาสมัครทดสอบน้ำตาล และให้ดื่มชาที่มีใบเชียงดาอบแห้ง 1.5 กรัม ชงกับน้ำร้อน 150 มิลลิลิตร มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ และการดื่มชาเชียงดาวันละ 1 แก้ว หลังอาหารทันที ต่อเนื่อง 28 วัน สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดสูงสุด ได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ดื่มชาเชียงดา
แม้การศึกษาวิจัยผักเชียงดาในผู้ป่วยเบาหวานจะยังมีไม่มากนัก แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้ผักเชียงดาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลขั้นต้น อีกทั้งผักเชียงดาเป็นผักพื้นบ้านที่มีการรับประทานเป็นอาหารมาช้านาน และยังไม่ปรากฏรายงานความเป็นพิษจากการรับประทานแต่อย่างใด
3. ตำลึง
“ตำลึง” ผักพื้นบ้านอีกชนิดหนึ่งที่หาได้ง่าย เพราะสามารถขึ้นและเติบโตได้ทุกที่ทั่วไป เป็นผักที่ให้พลังงานต่ำแต่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เป็นแหล่งของวิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม โปรตีน และเส้นใยอาหาร อีกทั้งยังมีเบต้าแคโรทีน ด้วยครับ
ในตำรายาพื้นบ้านของไทย มีการใช้รากตำลึงแก้โรคตา ดับพิษ แก้ไข้ทุกชนิด แก้เบาหวาน, ส่วนของต้นใช้กำจัดกลิ่นตัว น้ำจากต้นใช้รักษาเบาหวาน, ใบใช้แก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษ แก้คัน แก้แมลงกัดต่อย เป็นยาโรคผิวหนัง แก้เบาหวาน และผลใช้แก้ฝีแดง โดยในอินเดียและบังคลาเทศจะใช้ส่วนของรากและใบในการรักษาเบาหวานครับ
ในเรื่องการต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด มีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มาสนับสนุนสรรพคุณในการรักษาเบาหวานของตำลึง โดยมีการนำเกือบทุกส่วนของตำลึงมาใช้ในการศึกษา ได้แก่ ใบ ผล เถา ส่วนเหนือดิน และราก พบว่าตำลึงมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่ายาแผนปัจจุบัน โดยสารสกัดลำต้นตำลึงมีฤทธิ์กระตุ้นการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ เพิ่มระดับอินซูลิน ทำให้มีการสังเคราะห์ไกลโคเจนเพิ่มขึ้น และลดการเปลี่ยนไกลโคเจนมาเป็นกลูโคส เป็นผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้สารสกัดจากใบและส่วนเหนือดินยังมีผลในการ ลดไขมันอีกด้วยครับ
สำหรับการใช้ตำลึงเป็นสมุนไพรต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด วิธีการ คือ ใช้เถาตำลึงแก่ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น จะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ครับ
4. กะเพรา
ทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียระบุว่า “กะเพรา” มีสรรพคุณหลากหลาย เช่น บรรเทาอาการไอ หวัด และการติดเชื้อทางเดินหายใจ ช่วยย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยลดอาการที่เกิดจากความเครียด เพิ่มความจำ และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
จากข้อมูลงานวิจัยของอินเดีย ระบุว่าการรับประทานผงใบกะเพราแห้งก่อนอาหารเช้า สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ หรือรับประทานก่อนและหลังอาหารเช้า ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสูงและลดไขมันในเลือดสูงได้ และหากสกัดสารน้ำของใบกะเพราดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร สามารถลดน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในผู้ป่วยอ้วนลงพุง ทั้งยังพบว่าประมาณ 63% ของผู้ป่วยเบาหวานที่ดื่มน้ำต้มกะเพราสามารถตอบสนองต่อฤทธิ์ลดน้ำตาลได้ดีด้วย ทั้งนี้ ใบกะเพราช่วยให้เซลล์ของตับอ่อนสามารถผลิตอินซูลินได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากลดน้ำตาลในเลือดได้แล้ว ยังช่วยลดปริมาณไขมัน และคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทางเคมีพบว่าสารสำคัญที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในกะเพราเป็นสารกลุ่มไตรเทอร์พีนอยด์ ดังนั้นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นเบาหวานหรือผู้ที่ต้องการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน สามารถนำใบกะเพรามาใช้ปรุงประกอบเป็นอาหารได้ แต่หากอยากทานใบกะเพราเพื่อช่วยต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ต้องทานใบกะเพราสดๆ นะครับ
5. ว่านหางจระเข้
คนส่วนใหญ่จะรู้จัก “ว่านหางจระเข้” ในสรรพคุณด้านความงาม แต่ทราบหรือไม่ครับว่า ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือดเช่นกัน
ว่านหางจระเข้เป็นพืชสีเขียวที่มีใบหนาอ้วน เมื่อผ่าใบออกแล้วจะพบส่วนที่เป็นเนื้อวุ้นใสๆ ที่อุดมไปด้วยสารสำคัญต่างๆ เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับร่างกาย โดยว่านหางจระเข้ถูกนำมาใช้ในการแพทย์แผนโบราณมานานกว่า 2,000 ปี มีสรรพคุณต้านการอักเสบ รักษาอาการท้องผูก จุกเสียดและความดันโลหิตสูง และยังช่วยแก้ผิวไหม้อีกด้วย
ข้อมูลจากวารสารเภสัชศาสตร์คลินิกและการบำบัดอาหารเสริม ในปี 2559 ระบุว่า ว่านหางจระเข้อาจช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในทางเดินอาหาร กระตุ้นการสลายน้ำตาล และป้องกันการผลิตน้ำตาลได้ โดยปริมาณที่เหมาะสมของว่านหางจระเข้สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานคือ 300 มิลลิกรัม เนื่องจากการศึกษาพบว่า หากได้รับในปริมาณที่ไม่เหมาะสมอาจมีอาการข้างเคียงได้ เช่นสภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า สั่น การเต้นของหัวใจผิดปกติ สับสนมองเห็นภาพซ้อน ชัก หรือถึงขั้นหมดสติ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ว่านหางจระเข้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปในรูปแบบแคปซูลซึ่งง่ายต่อการรับประทาน และต้องทานทุกๆ 12 ชั่วโมงเป็นเวลาสองเดือนจึงจะเห็นผลในการปรับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล แต่ไม่แนะนำให้ใช้ว่านหางจระเข้สดมาทำเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มนะครับ เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์ในการต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังอาจมีอาการท้องเสียจากยางของว่านหางจระเข้ที่ล้างออกไม่หมดอีกด้วยครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
– https://www.hfocus.org/content/2020/11/20462
– https://www.thaihealth.or.th/Content/50586-มะระขี้นก%20มีฤทธิ์ลดเบาหวานได้จริง.html
– https://www.disthai.com/16963872/ผักเชียงดา
– https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/432/ผักเชียงดา-ลดน้ำตาลในเลือด/
– https://www.pobpad.com/ตำลึง-ผักพื้นบ้านมากคุณ
– https://www.dailynews.co.th/politics/605244
– https://cities.trueid.net/article/ไขความลับ-ว่านหางจระเข้-เป็นประโยชน์กับโรคเบาหวานหรือไม่-trueidintrend_97414