ถ้าไม่นับความเสื่อมทางร่างกายตามอายุ สำหรับผู้สูงอายุ โรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นล้วนมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในช่วงวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะโรคเรื้อรังอย่าง “เบาหวาน” เป็นโรคติดอันดับ top 5 ที่คนไทยเป็นกันมาก เนื่องมาจากพฤติกรรมเสพติดความหวานแบบไม่รู้ตัว จนเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด แล้วเจ้าโรคนี้ทำให้ใครหลายคนกินอาหารไม่อร่อยดังเดิม แต่ใครจะรู้ว่าจริง ๆ คนที่เป็นเบาหวานสามารถกินอาหารได้หลากหลาย วันนี้เอลเดอร์จึงมาแนะนำวิธีการกินอาหารเพื่อพิชิตโรคเบาหวานกันครับ

สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพเพื่อควบคุมโรคได้นั้น คือ การรับประทานอาหารในแต่ละวันให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั่นเอง อย่ากลัวอาการจะแย่จนทานอาหารน้อยเกินซึ่งอาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำจนอาจเกิดอันตราย และในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทานมากเกินความต้องการของร่างกายจนนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือขึ้นเร็วเกินไปนะครับ
การรับประทานอาหารของผู้ป่วยเบาหวานนั้นมีความคล้ายคลึงกับหลักการทานอาหารเพื่อสุขภาพของคนทั่วไปนั่นแหละครับ คือ การทานให้ครบทุกหมู่ ปริมาณเหมาะสม และเพิ่มความหลากหลายเพื่อไม่ให้เกิดความจำเจจนเบื่ออาหารนะครับ
ดังนั้นเพื่อการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานอย่างเหมาะสม ทั้งตัวผู้ป่วยเอง และผู้ดูแลหรือคนในครอบครัวควรเรียนรู้การเลือกชนิดอาหาร และจัดปริมาณอาหารในแต่ละมื้ออย่างถูกต้อง โดยจะต้องคำนึงถึงปริมาณและชนิดของแป้งและไขมันเป็นสำคัญ เพราะเป็นตัวการที่ทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงได้หากรับประทานมากเกินไป นอกจากนั้นการรับประทานอาหารเป็นเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญครับ ผู้ป่วยและผู้ดูแลจะต้องมีวินัย ทานอาหารตรงเวลาเป็นนิสัย และทานในปริมาณที่ใกล้เคียงกันในแต่ละวัน ไม่ควรอดอาหารเด็ดขาดนะครับ เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลไม่สม่ำเสมออาจเป็นอันตรายได้ แต่ถ้าหากผู้ป่วยอยากทานอาหารอื่นๆ เพิ่มเติมที่คิดว่าอาจจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ควรลดปริมาณอาหารที่ทานในแต่ละมื้อลงแทนการอดอาหารบางมื้อครับ
เรามาเรียนรู้กันดีกว่าครับว่าอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ควรทาน ไม่ควรทาน และควรทานได้ปริมาณมากน้อยแค่ไหนกันบ้าง ซึ่งโดยหลักๆแล้ว อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานแบ่งง่ายๆ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 อาหารที่กินได้ไม่จำกัดนอกจากจะอิ่มก่อน แน่นอนครับว่าหลายคนรู้ดีว่าต้องเป็นผักแน่ๆ เพราะว่าผักเป็นอาหารที่มีพลังงานต่ำหรือเกือบจะไม่มีเลยทีเดียว นอกจากนั้น ยังมีกากใยอาหารที่เรียกว่า ไฟเบอร์ ซึ่งทำให้การดูดซึมน้ำตาลช้าลงได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด เช่น ผักกาด ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ฯลฯ นำมาทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ ตัวอย่างเช่น ต้มจืด ยำ สลัด ผัดผัก เป็นต้น
ประเภทที่ 2 อาหารที่ห้ามกินเด็ดขาด เพราะอาหารเหล่านี้มีน้ำตาลสูงมากๆ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวานแน่นอนครับ อาหารเหล่านั้นได้แก่
- น้ำตาล และขนมหวานๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง อาหารเชื่อม เค้ก คุกกี้ ช็อกโกแลต ไอศกรีม ฯลฯ
- ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ลำไย มะม่วงสุก ขนุน ละมุด น้อยหน่า ลิ้นจี่ อ้อย ผลไม้แช่อิ่ม หรือเชื่อมน้ำตาลทั้งหลาย
- เครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม น้ำแดง โอเลี้ยง กาแฟเย็น ชาเย็น โกโก้เย็นเครื่องดื่มชูกำลัง นมข้นหวาน น้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ ซึ่งมีน้ำตาลประมาณ 8-15% เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นน้ำมะเขือเทศ น้ำผักดื่มได้แต่ควรเป็นน้ำผักทำเองนำครับเพราะเราจะทราบดีว่ามันไม่มีน้ำตาลแน่นอน ถ้าน้ำผักเป็นกล่องอาจจะมีน้ำตาลอยู่เยอะพอสมควรเลยครับ หากต้องการดื่มชา กาแฟ ควรเป็นชาไม่ใส่น้ำตาล กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล หรือใช้น้ำตาลเทียมแทนนะครับ
ประเภทที่ 3 อาหารที่กินได้แต่ต้องเลือกชนิด หรือจำกัดจำนวน
ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกกินอาหารหลากหลายชนิด เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจและให้ได้สารอาหารครบถ้วนที่ร่างกายต้องการ โดยเลือกกินอาหารตามกลุ่มต่างๆ ที่มีสารอาหารและพลังงานใกล้เคียงกัน ซึ่งหมายถึง อาหารแลกเปลี่ยนสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อใช้ในเลือกรับประทานอาหารได้หลากหลายชนิดและเข้าใจคุณค่าทางโภชนาการของอาหารได้ง่ายขึ้น ช่วยคำนวณและจัดสัดส่วนอาหารให้เหมาะสมในแต่ละบุคคล และช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีมากยิ่งขึ้นครับ
อาหารแลกเปลี่ยน สามารถจัดออกได้เป็น 6 หมวดหมู่ด้วยกัน ซึ่งในแต่ละหมวดก็จะมีอาหารหลากหลายให้แลกเปลี่ยนกัน เช่น หากไม่อยากทานข้าว ก็เปลี่ยนเป็นทานก๋วยเตี๋ยวแทน ซึ่งแน่นอนว่าข้าวกับเส้นก๋วยเตี๋ยวจะให้พลังงานที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นหากเราจะเปลี่ยนชนิดอาหาร เราต้องรับประทานในปริมาณที่กำหนดไว้ในแต่ละชนิดครับ
หมวดที่ 1 แป้ง หรือ ข้าว
ข้าวหรือแป้งแต่ละชนิดในปริมาณ 1 ส่วน (น้ำหนักไม่แน่นอน) จะได้คาร์โบไฮเดรต 18 กรัม โปรตีน 2 กรัม พลังงาน 80 กิโลแคลอรี ซึ่งผู้ที่เป็นเบาหวานสามารถกินหมวดนี้ได้เหมือนคนปกติครับ เพราะข้าวเป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน สามารถกินได้มื้อละ 2 – 3 ส่วน ตัวอย่างเช่น
อาหาร | ปริมาณอาหาร (1 ส่วน) | อาหาร | ปริมาณอาหาร (1 ส่วน) |
ข้าวสวย | 1 ทัพพี | บะหมี่สุก | 1 ก้อน |
ขนมปังจืด | 1 แผ่น | เส้นใหญ่ลวก | 1 ทัพพี |
ข้าวเหนียว | 1 ช้อนโต๊ะ | ขนมจีน | 1 จับ |
เส้นสปาเก็ตตี้ | 1 ทัพพี | เส้นเซี่ยงไฮ้ | 1 ทัพพี |
มักกะโรนี | 1 ทัพพี | วุ้นเส้น | 1 ทัพพี |
สาคูลวก | 1 ทัพพี | ข้าวโพด | 1/2 ฝัก |
ขนมปังแครกเกอร์ | 5 แผ่น | เผือกสุก | 1 ทัพพี |
แป้งดิบ | 1 ช้อนโต๊ะ | มันสุก | 1 ทัพพี |
หมวดที่ 2 เนื้อสัตว์
หมวดเนื้อสัตว์สามารถแบ่งตามปริมาณไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์แต่ละชนิดได้ 3 หมวดย่อย ซึ่งในแต่ละหมวดย่อย เนื้อสัตว์ 1 ส่วนจะมีปริมาณโปรตีนเท่ากัน แต่ไขมันและพลังงานจะต่างกัน
เนื้อสัตว์ประเภทไขมันต่ำมาก มีโปรตีน 7 กรัม ไขมัน 0-1 กรัม พลังงาน 35 กิโลแคลอรี | |||
อาหาร | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) | อาหาร | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) |
ปลาทูขนาดกลาง | 1 ตัว | เนื้อปลา | 2 ช้อนโต๊ะ |
ปลาหมึก | 2 ช้อนโต๊ะ | กุ้งสุก | 4 ตัว |
ลูกชิ้นปลา | 2 ช้อนโต๊ะ | อกไก่ไม่มีหนัง | 2 ช้อนโต๊ะ |
เนื้อสัตว์ประเภทไขมันปานกลางมีโปรตีน 7 กรัม ไขมัน 5 กรัม พลังงาน 75 กิโลแคลอรี | |||
อาหาร | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) | อาหาร | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) |
เนื้อหมูไม่มีมัน | 2 ช้อนโต๊ะ | ลูกชิ้นหมู | 4 ชิ้น |
ซี่โครงหมูไม่มีมัน | 4 ชิ้น | เต้าหู้ขาวแข็ง | 60 กรัม |
ไข่ไก่ | 1 ฟอง | เต้าหู้อ่อนหลอด | 180 กรัม |
เนื้อสัตว์ประเภทไขมันสูงมีโปรตีน 7 กรัม ไขมัน 5 กรัม พลังงาน 100 กิโลแคลอรี | |||
อาหาร | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) | อาหาร | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) |
ไส้กรอกขนาดกลาง | 1 ชิ้น | แฮม | 1 แผ่น |
หมูยอ | 2 ชิ้น |
หมวดที่ 3 หมวดนม
ชนิดของนม | ปริมาณ (1 ส่วน) | โปรตีน(กรัม) | ไขมัน(กรัม) | คาร์โบไฮเดรต(กรัม) | พลังงาน(กิโลแคลลอรี่) |
นมสดรสจืด | 240 มล. | 8 | 8 | 12 | 150 |
นมพร่องมันเนย | 240 มล. | 8 | 5 | 12 | 120 |
นมขาดมันเนย | 240 มล. | 8 | 0-3 | 12 | 90 |
ข้อควรระวัง
– ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณท์นม เช่น เนยแข็ง หรือ ชีส (Cheese) เพราะจัดอยู่ในหมวดเนื้อสัตว์
– ผู้ที่มีระดับโคเรสเตอรอลในเลือดสูงควรเลือกชนิดพร่องมันเนย หรือขาดมันเนย เพราะนมสดและผลิตภัณท์ของนมจะมีไขมันอิ่มตัวและโคเรสเตอรอลสูง
– ควรหลีกเลี่ยงนมที่มีการปรุงแต่งทุกชนิด เช่น ชนิดหวาน นมรสสตรอเบอรี่ หรือรสช็อคโกแลต รวมทั้งนมเสริมน้ำผลไม้ทุกชนิด เพราะมีปริมาณน้ำตาลสูง
หมวดที่ 4 หมวดผัก
ผักประเภทที่ 1 เป็นผักที่ให้พลังงานต่ำมาก ถ้ารับประทานไม่ถึงมื้อละ 1-2 ส่วน ไม่ต้องนำมาคิดเป็นพลังงาน มักจะใช้เป็นสมุนไพรแต่งกลิ่นหรือรสอาหาร ได้แก่ ผักกาดขาว ผักปวยเล้ง โหระพา กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ คึ่นช่าย มะเขือเทศ มะเขือ แตงกวา ฟักเขียว บวบ พริกหยวก ตั้งโอ๋ ผักกาดสลัด
ผักประเภทที่ 2 เป็นผักที่รับประทานได้ในปริมาณที่ให้พลังงาน ปริมาณ ½ ถ้วยตวงหรือ 70 กรัม มีโปรตีน 2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 5 กรัม ให้พลังงาน 25 กิโลแคลลอรี่ ได้แก่ ฟักทอง แครอท สะตอ ผักหวาน ถั่วลันเตา ยอดมะพร้าวอ่อน ยอดชะอม ยอดสะเดา ต้นกระเทียม ถั่วฝักยาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง พริกหวาน บล็อกโคลี่ ข้าวโพดอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง มะระจีน หัวไชเท้า มะเขือยาว
หมวดที่ 5 หมวดผลไม้
ผลไม้ 1 ส่วน มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ให้พลังงาน 60 กิโลแคลรี โดยปริมาณต่อ 1 ส่วนจะขึ้นอยู่กับชนิดของผลไม้
ผลไม้ | ปริมาณ(1 ส่วน) | ผลไม้ | ปริมาณ (1 ส่วน) |
แตงโม | 10 ชิ้น | แก้วมังกร | ¼ ผล |
องุ่น | 8-10 | กล้วยไข่ | 1 ผล |
ชมพู | 3 ผล | กล้วยหอม | ½ ผล |
ส้มโอ | 2 ชิ้น | มังคุด | 4 ผล |
สัปปะรด | 8 ชิ้น | ฝรั่งสาลี่ | ½ ผล |
มะละกอสุก | 3-4 ชิ้น | เงาะ | 4 ผล |
ผลกีวี่ | 1 ผล | ลองกอง | 6 ผล |
แอปเปิ้ลเล็ก | 1 ผล | ลำไย | 6 ผล |
มะม่วงสุก | ½ ผลเล็ก | ลิ้นจี่ | 5 ผลกลาง |
ส้มเขียวหวาน | 1 ผล | ขนุนสุก | 2 ชิ้น |
หมวดที่ 6 หมวดไขมัน
ไขมัน 1 ส่วน คือไขมันที่ปริมาณ 1 ช้อนชา จะให้ไขมัน 5 กรัม และพลังงาน 45 กิโลแคลอรี ซึ่งเราจะแบ่งตามประเภทของกรดไขมัน ดังนี้
กลุ่มไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA : Monounsaturated Fatty Acids) | |||
ชนิดไขมัน | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) | ชนิดไขมัน | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) |
น้ำมันมะกอก | 1 ช้อนชา | ถั่วลิสง | 10 เมล็ด |
น้ำมันรำข้าว | 1 ช้อนชา | เม็ดมะม่วงหิมพานต์ | 6 เมล็ด |
น้ำมันถั่วลิสง | 1 ช้อนชา | ||
กลุ่มไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (PUFA: Poly-unsaturated Fatty Acid) | |||
ชนิดไขมัน | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) | ชนิดไขมัน | ปริมาณน้ำหนัก(1 ส่วน) |
น้ำมันถั่วเหลือง | 1 ช้อนชา | น้ำมันดอกคำฝอย | 1 ช้อนชา |
น้ำมันข้าวโพด | 1 ช้อนชา | น้ำมันดอกทานตะวัน | 1 ช้อนชา |
เมล็ดฟักทอง | 1 ช้อนโต๊ะ | เมล็ดทานตะวัน | 1 ช้อนโต๊ะ |
ปริมาณอาหารตามหลักโภชนาการที่ผู้สูงอายุควรได้รับใน 1 วัน
ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จะต้องการพลังงาน 1,600 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยแบ่งได้ดังนี้
กลุ่มอาหาร | ปริมาณ |
กลุ่มข้าว/แป้ง | 7 ทัพพี |
ผัก | 6 ทัพพี |
ผลไม้ | 3 ส่วน |
เนื้อสัตว์ | 6 ช้อนโต๊ะ |
นม | 1 แก้ว |
น้ำมัน | 2.5 ช้อนชา |
ถ้าหากเรามีการจำกัดและควบคุมการกินของเราในสัดส่วนที่พอดีและพอเพียงต่อความต้องการในแต่ละวันแล้วล่ะ เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถพิชิตเบาหวานได้แล้วละครับ แรก ๆ อาจจะยากสักหน่อย แต่ร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัวได้เอง ที่สำคัญอย่าลืมว่าวัยสูงอายุฟื้นฟูร่างกายได้ไม่ดีเท่าหนุ่มสาว ดังนั้นอย่าเผลอตามใจปากมากเกินไปนะครับ
ข้อมูลอ้างอิง
– กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. อาหารเฉพาะโรคสำหรับผู้สูงอายุ, 2550
–
– – http://110.164.68.234/nutrition_6/index.php/en/2016-03-21-10-18-59