โรคเก๊าต์และรูมาตอยด์จัดว่าเป็นโรคปวดข้อที่พบได้มากในประเทศไทย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในประจำวัน อาการของทั้งสองโรคนี้จะค่อนข้างคล้ายๆกัน นั่นก็คือ “ปวดข้อ” ทำให้หลายๆท่านอาจจะสับสนกันมากว่า สรุปแล้วทั้งสองโรคนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร มีวิธีสังเกตแยกโรคทั้งสองนี้อย่างไร และมีวิธีดูแลและปฏิบัติตนอย่างไร? เอลเดอร์จะพาทุกท่านมาหาคำตอบกันนะครับ
1. สาเหตุของโรคเก๊าท์ VS รูมาตอยด์
เก๊าท์ | รูมาตอยด์ |
– เกิดจากร่างกายที่มีการสะสมกรดยูริกมากในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกได้ ทำให้เกิดจากการตกผลึกของกรดยูริกในข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆข้อ มีอาการอักเสบเฉียบพลันของข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆข้อ | – เป็นกลุ่มโรคภูมิต้านทานตัวเอง (autoimmune disease) ที่มีลักษณะเฉพาะคือมีการอักเสบรุนแรงของข้อโดยเฉพาะข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำร้ายตัวเองจนเกิดการอักเสบ บวม และมีน้ำเพิ่มขึ้นในช่องข้อ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลให้ข้อถูกทำลายและเกิดความพิการตามมาได้ |
2. อาการของโรคเก๊าท์ vs รูมาตอยด์ต่างกันอย่างไร
อาการ | เก๊าท์ | รูมาตอยด์ |
1. ลักษณะการปวด | ปวดอย่างรุนแรงตามข้อต่อ อาการปวดจะรุนแรงและฉับพลัน ปวดมากในช่วง 4-12 ชั่วโมงแรก จากนั้นจะเริ่มปวดน้อยลงและมีอาการดีขึ้นภายใน 7-10 วัน บางคนอาจปวดนานหลายสัปดาห์ | อาการปวดดำเนินอย่างช้า ๆ อาจนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน |
2. บริเวณที่ปวด | ปวดบริเวณส่วนล่างของร่างกาย โดยเฉพาะข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า นิ้วเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า และจะปวดข้อเดียว ไม่ปวดพร้อมกันทีละหลายๆข้อ | ปวดตามข้อต่างๆทุกจุดของร่างกาย ได้แก่ ข้อนิ้วมือ ข้อไหล่ ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อนิ้วเท้า ข้อศอก และส่วนใหญ่มักจะปวดหลายๆข้อพร้อมกัน |
3. ข้างที่ปวด | มักจะปวดเพียงข้างใดข้างหนึ่ง | ปวดสองข้างพร้อมกัน |
4. ช่วงเวลาที่ปวด | ปวดได้ทุกช่วงเวลา | ปวดมากตอนตื่นนอน และช่วงเวลาที่อากาศเย็น |
5. ระยะเวลาที่ปวด | ปวดเป็นๆหายๆ | ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ |
6. ลักษณะของข้อ | มีปุ่มกระดูกปรากฏขึ้นมาที่ข้อ | มีการผิดรูปของข้อต่างๆ เช่นข้อมือ ข้อนิ้ว ข้อนิ้วเท้า |
7. ข้อควรระวัง | หากประคบร้อนจะทำให้อักเสบเพิ่มขึ้น | หากประคบเย็น อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้น |
8. อาการอื่นๆที่พบ | มักสัมพันธ์กับการมีโรคร่วมอื่น ได้แก่ ภาวะไขมันสูง ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และโรคอ้วน | อาการอื่นนอกระบบข้อที่พบได้แก่-ปุ่มรูมาตอยด์ เป็นปุ่มที่คลำพบได้หลายแห่ง อาจนุ่มหรือแข็ง หายได้เมื่ออาการของโรคดีขึ้น-ภาวะซีดเรื้อรัง-เส้นประสาทถูกกดทับเนื่องจากเยื่อหุ้มข้อที่บวมอักเสบ-ตาแห้งและกระจกตาอักเสบ พบได้บ่อยแต่ไม่สัมพันธ์กับอาการข้ออักเสบ-อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ |
3. ปัจจัยเสี่ยงของโรคเก๊าท์ vs รูมาตอยด์มีอะไรบ้าง
ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์และรูมาตอยด์ที่เหมือนกันได้แก่
· อายุและเพศ
– โรคเก๊าท์ มักพบในผู้ป่วยชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ย 40-60 ปี แต่ในเพศหญิงมักพบหลังวัยหมดประจำเดือนแล้ว
– โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ พบได้บ่อยในสองช่วงอายุ คือ ช่วงอายุ 20-30 ปี และ 50-60 ปี โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในช่วงอายุน้อย แต่ในช่วงอายุมาก พบได้ทั้ง 2 เพศเท่าๆกัน
· พันธุกรรม
หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเก๊าท์และรูมาตอยด์ ก็จะมีความเสี่ยงในการเป็นมากขึ้น
· ความอ้วน
ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงในการพัฒนาเป็นโรคเก๊าท์และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ดูเหมือนว่าทั้งสองโรคนี้จะมีปัจจัยเสี่ยงที่ดูคล้ายๆกันใช่ไหมล่ะครับ แต่…เอ๊ะ ในความเหมือนย่อมมีความต่าง ไปดูกันนะครับว่าปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกันระหว่างโรคเก๊าท์และรูมาตอยด์ มีอะไรบ้าง
สำหรับโรคเก๊าท์มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมจากข้างต้น ได้แก่
· การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง
เช่น เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตส
· มีประวัติป่วยเป็นโรคประจำตัว
ได้แก่ เบาหวาน ความดัน คอเลสเตอรอลสูง โรคหัวใจ
· การใช้ยาบางชนิด
เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือยาที่ใช้รักษารูมาตอยด์ หรือยารักษาโรคสะเก็ดเงิน
สำหรับโรครูมาตอยด์มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่มเติมจากข้างต้น ได้แก่
· การสูบบุหรี่
ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรครูมาตอยด์มากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ครับ
4. ทานอาหารอย่างไรให้ห่างไกลเก๊าท์และรูมาตอยด์
สำหรับโรคเก๊าท์ อย่างที่เราทราบกันดีนะครับว่า การรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นโรคเก๊าท์ ดังนั้นเราสามารถแบ่งประเภทของอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าท์ได้ 3 ประเภท โดยจำแนกตามปริมาณพิวรีนในอาหาร ได้แก่ อาหารประเภทที่ทานได้ปกติ ทานได้โดยลดปริมาณ และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
· อาหารประเภทที่ทานได้ปกติ มีอะไรบ้าง?
อาหารที่ทานได้ปกติ ได้แก่อาหารที่มีพิวรีนน้อย (พิวรีน 0 – 15 มิลลิกรัม/อาหาร 100 กรัม) ได้แก่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ ขนมปังขาว ธัญพืช ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผลไม้ต่างๆ น้ำตาล วุ้น เนย ไขมัน เนยแข็ง
· อาหารประเภทที่ทานได้แต่ควรลดปริมาณลง มีอะไรบ้าง?
อาหารกลุ่มนี้ ได้แก่ อาหารที่มีพิวรีนปานกลาง (50 – 150มิลลิกรัม/อาหาร 100 กรัม) ทานได้สัปดาห์ละ 1 ครั้งนะครับ ได้แก่ เนื้อหมู ปลากระพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง ใบขี้เหล็ก สะตอ ข้าวโอ๊ต ผักโขม เมล็ดถั่วลันเตา หน่อไม้ ดอกกะหล่ำ
· อาหารประเภทควรงดหรือหลีกเลี่ยง มีอะไรบ้าง?
อาหารกลุ่มนี้ ได้แก่ (มากกว่า150 มิลลิกรัม/อาหาร 100 กรัม) เนื้อไก่ หัวใจไก่ ปลาอินทรีย์ มันสมองวัว ตับไก่ กึ่นไก่ ปลาซาดีน ปลาไส้ตัน เซ่งจี๊หมู ตับหมู กุ้งชีแฮ้ หอย ไข่ปลา หัวใจ ตับอ่อน น้ำสลัดเนื้อ น้ำต้มกระดูก ซุปก้อน กระถิน ชะอม เห็ด ปลาดุก กะปิ ยีสต์ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วเขียว
สำหรับโรครูมาตอยด์ มีอาหารประเภทใดบ้างที่ทานแล้วไม่ทำให้โรคกำเริบ และอาหารประเภทใดที่ควรหลีกเลี่ยงหรือทานแล้วอาจทำให้อาการกำเริบได้ รวมทั้งทานอะไรแล้วช่วยบรรเทาอาการ เอลเดอร์มีมาฝากดังนี้ครับ
อาหารประเภทที่ทานได้ปกติ มีอะไรบ้าง?
ส่วนใหญ่หากอาหารเป็นประเภทผัก หรือผลไม้ หากผ่านความร้อนแล้ว สามารถทานได้ปกติครับ เช่น
– ผลไม้ที่ผ่านความร้อน หรือทำแห้ง ได้แก่ เชอรี่ แครนเบอรี่ ลูกแพร์ ลูกพรุน (ยกเว้น ผลไม้ตระกูลส้ม กล้วยลูกพีช หรือมะเขือเทศ)
– ผักสีเขียว เหลือง และส้ม ที่ผ่านความร้อน ได้แก่ หัวอาร์ติโช้ค หน่อไม้ฝรั่ง บร็อคโคลี่ ผักกาดแก้ว ผักโขม ถั่วฝักยาว มันเทศ มันสำปะหลัง และเผือก เป็นต้น
– ข้าวกล้อง
อาหารอื่นที่อาจจะรับประทานได้ หรือควรจะหลีกเลี่ยงเพิ่มเติม มีอะไรบ้าง?
– อาหารบางชนิดที่อาจจะกระตุ้นให้อาการกำเริบได้ในบางคน แต่ไม่กระตุ้นอาการในคนกลุ่มใหญ่ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กล้วย ช็อกโกแล็ต มอลต์ ไนเตรต หอมใหญ่ ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง น้ำตาลอ้อย และเครื่องเทศบางชนิด
อาหารประเภทควรงดหรือหลีกเลี่ยง มีอะไรบ้าง?
อาหารที่มีผลกระตุ้นให้อาการกำเริบ คือ ผลิตภัณฑ์นมทุกชนิด ทั้งจากนมวัวและนมแพะข้าวโพด เนื้อสัตว์ทุกชนิด ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ไข่ ผลไม้ตระกูลส้ม มันฝรั่ง มะเขือเทศ ถั่ว กาแฟ
อาหารประเภทใดบ้างที่ช่วยลดความเสี่ยงหรือการอักเสบของโรครูมาตอยด์ ?

- อาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง เนื่องจากอาหารประเภทนี้จะช่วยในเรื่องลดการอักเสบ ตัวอย่างอาหารที่มีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง ได้แก่ ปลาทะเลต่างๆ เช่น แซลมอน ทูน่า เทร้าส์ แมคเคอเรลนอกจากนี้ อาหารจำพวกถั่วก็มีไขมันโอเมกา-3 สูงเช่นกันนะครับ ตัวอย่างเช่น วอลนัท เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และน้ำมันต่างๆเช่น คาโนลา น้ำมันปลา มีรายงานการวิจัยบ่งชี้ว่า น้ำมันปลาช่วยลดอาการปวดไขข้อและลดปริมาณการใช้ยาต้านการอักเสบได้ แต่อาจจะต้องรับประทานต่อเนื่องประมาณ 3-4 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
ข้อควรระวัง น้ำมันปลาอาจมีระดับวิตามินเอหรือสารปรอทสูงจึงควรปรึกษาแพทย์

- อาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยในด้านต้านเชื้อไวรัส ต้านการอักเสบ และลดการเกิดโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมของร่างกาย เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ไขข้อ เป็นต้น สารฟลาโวนอยด์พบได้มากในพืชผัก และผลไม้ เช่น ชาเขียว กระเทียม แอ๊ปเปิ้ล เบอร์รี่ และหอมหัวใหญ่ พริกแดง พริกหวาน บล็อคโคลี่ กะหล่ำปลี ผักโขม

- อาหารที่มีวิตามินซี จะมีประโยชน์ช่วยในด้านต้านการอักเสบ พบได้ในผลไม้ประเภทส้ม พริกสด มะนาว กีวี่ สตรอว์เบอร์รี่ เป็นต้น

- อาหารที่มีธาตุซีลีเนียม จะช่วยต้านอนุมูลอิสระและช่วยเสริมการทำงานของเอนไซม์ชนิดกลูตาไธโอนเพอร็อกซิเดสที่ต่อสู้กับการอักเสบ มีผลวิจัยพบว่า คนที่มีระดับซีลีเนียมต่ำจะมีความเสี่ยงเกิดโรครูมาตอยด์มากขึ้น อาหารที่มีธาตุซีลีเนียมสูง ได้แก่ อาหารทะเล ตับ ไต ปลาทูน่า จมูกข้าวสาลี รำข้าว หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ บรอกโคลี ข้าวกล้อง เป็นต้น

- วิตามินดีและแคลเซียม จำเป็นมากสำหรับผู้ที่ต้องทานยาประเภทคอร์ติสเตียรอยด์ ซึ่งทำให้เนื้อกระดูกและระดับวิตามินดีในเลือดต่ำ มีผลให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น อาหารที่มีวิตามินดีสูง ได้แก่ น้ำมันตับปลา ไข่แดง ตับ แซลมอน เห็ด และอาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า เต้าหู้อ่อน โยเกิร์ต นมถั่วเหลืองเป็นต้น
***เป็นที่น่าสังเกตนะครับว่าข้อแตกต่างของอาหารที่ทานได้ และอาหารที่ต้องงดหรือควรระวังระหว่างเก๊าท์และรูมาตอยด์ ที่เห็นได้ชัดก็คือ อาหารประเภทนมต่างๆ สำหรับโรคเก๊าท์ “นม” จัดเป็นอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ทานได้ปกติ แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ป่วยโรครูมาตอยด์กลับอยู่ในกลุ่มที่ต้องงดหรือหลีกเลี่ยง ดังนั้นการสังเกตุอาการ แยกโรคและความแตกต่างของทั้งสองโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการปฏิบัติตน และการดูแลตนเองของผู้ป่วยครับ
5. บริหารร่างกายอย่างไรเพื่อบรรเทาอาการเก๊าท์และรูมาตอยด์
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีการการปวดข้อต่างๆ ไม่ว่าจากเก๊าท์หรือรูมาตอยด์ จะได้รับคำแนะนำให้พักมาก ๆ ลดกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ให้น้อยลง ทำให้ข้อต่อมีการเคลื่อนไหวน้อย ขาดความยืดหยุ่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อก็ลดลง รวมถึงประสิทธิภาพการทำงานของระบบหัวใจและปอดก็จะลดลง ทำให้เหนื่อยง่าย กังวล และความเครียดก็จะตามมาอีกด้วยครับ แต่ในปัจจุบันจากการศึกษาพบว่า หากเราออกกำลังกายอย่างถูกวิธี ไม่หนักเกินไป จะช่วยให้อาการต่าง ๆ ของคนที่เป็นโรคข้ออักเสบดีขึ้นได้นะครับ ยกตัวอย่างเช่น
· ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เพื่อให้ระบบการทำงานของหัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น เน้นการออกกำลังกายที่ไม่ลงน้ำหนักที่ขาได้แก่ การปั่นจักรยาน กรรเชียงบก ว่ายน้ำ หรือการเดินหรือออกกำลังกายในน้ำก็ได้เช่นกันครับ
· ออกกำลังแบบยกน้ำหนักหรือออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน ช่วยให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อต่อที่เสื่อมหรืออักเสบมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น เช่น การยกน้ำหนักที่เราสามารถใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นดัมเบลล์ บาร์เบล ยางยืด หรือน้ำหนักตัวของเราเองก็ได้เช่นกันครับ
***ควรเลือกน้ำหนักที่ใช้ให้เหมาะสมไม่ใช้น้ำหนักที่มากเกินไปและไม่มีการกระชากหรือใช้แรงเหวี่ยงในการยกน้ำหนักและทำด้วยความระมัดระวัง เช่น ในผู้สูงอายุอาจเลือกการฝึกเวทด้วยเครื่อง (machine)
· การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น/ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ช่วยให้แขนขา เคลื่อนไหวคล่องขึ้นทำกิจกรรมต่าง ๆ สะดวกขึ้น ป้องกัน ข้อยึดติด ลดอาการเจ็บปวดข้อ ลดการบาดเจ็บในผู้สูงอายุ เช่น เต้นรำ รำมวยจีน โยคะหรือยืดกล้ามเนื้อกลุ่มหลักได้แก่ กล้ามเนื้อคอ หน้าอก ไหล่ หลัง แขน ขา ควรยืดกล้ามเนื้ออย่างช้า ๆ แล้วค้างไว้ 10-30 วินาที ทำ 3-5 ครั้งสำหรับกล้ามเนื้อแต่ละกลุ่ม
นอกจากวิธีออกกำลังกายที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เอลเดอร์ยังมีวิธีบรรเทาอาการปวดสำหรับผู้ป่วยรูมาตอยด์มาฝากเพิ่มเติมดังนี้ครับ
- ผู้ป่วยรูมาตอยด์มักจะมีอาการปวดตามข้อต่างๆ โดยเฉพาะช่วงเช้า วิธีบรรเทาปวดคือ ให้ใช้น้ำร้อนประคบตามข้อที่ปวด ประมาณ 15 นาทีนะครับ
- การนวด ก็สามารถช่วยบรรเทาปวดได้เช่นกันนะครับ โดยการบีบนวดบริเวณกล้ามเนื้อ จะช่วยเพิ่มความร้อน และผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวด
ข้อแนะนำในการบีบนวดกล้ามเนื้อ- ถ้ามีอาการปวด ควรหยุดนวดทันที
- อย่าบีบนวดข้อต่อที่ปวดและบวม
- ถ้าต้องการนวดตัวเอง ควรจะมีการใช้เจล น้ำมัน หรือโลชั่น ช่วยในการนวด
- ถ้ามีหมอนวด ต้องแน่ใจว่าหมอนวดนั้นเคยนวด หรือมีประสบการณ์ในการดูแลโรคข้อมาก่อน
- หากมีอาการปวด ไม่ควรซื้อยาชุดมารับประทานเองนะครับ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากสเตียรอยด์ หรือสารอื่นๆผสมมาด้วย
- หากข้ออักเสบ ควรงดออกกำลังกายบริเวณข้อทันทีนะครับ เพราะอาจจะทำให้อักเสบมากขึ้น แต่หากอาการอักเสบลดลงแล้ว สามารถกลับมาออกกำลังกายได้ตามปกติ
- ว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยรูมาตอยด์ และอย่าลืมฝึกบริหารร่างกายในท่าต่างๆ เป็นประจำทุกวันนะครับ
อย่างไรก็ตาม หากต้องการออกกำลังกายในช่วงที่มีการอักเสบของข้อ ควรออกกำลังกายภายใต้คำแนะนำของแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัด อย่างใกล้ชิดนะครับ
อ้างอิงจาก:
1. เกาต์ VS รูมาตอยด์ สังเกตให้เป็นรับมือได้ถูก | Bangkok Hospital
2. Rheumatoid arthritis vs. gout: What’s the difference? (medicalnewstoday.com)
3. How diet affects Osteoarthritis, Rheumatoid Arthritis, and Gout | Ortho Illinois
4. https://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1407