ร่างกายของเราก็เหมือนกับเครื่องจักรที่ต้องทำงานมานานหลายปี ย่อมมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เพราะมนุษย์มีการพัฒนาการเจริญเติบโตได้สูงสุดเฉลี่ยในช่วงอายุ 20 – 25 ปี และหลังจากนั้นประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายและอวัยวะจะเริ่มถดถอยลงเรื่อยๆตามการใช้งานและการดูแลรักษาร่างกายของเรา
“สุขภาพร่างกายที่ย่ำแย่ เกิดจากการสะสมของการใช้ชีวิตที่ไม่ดีเป็นเวลานานฉันใด การที่เราจะสร้างสุขภาพที่ดีได้ก็มักจะต้องใช้เวลาสะสมจากการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นฉันนั้น”
ปัญหาสุขภาพที่ช่วงวัยสูงอายุนั้นไม่ได้เกิดจากการใช้ชีวิตเมื่อวันสองวัน หรือเดือนสองเดือนก่อน แต่มักเกิดจากผลของการใช้ชีวิตในช่วงวัยผู้ใหญ่หรือวัยทำงานที่เรามักจะหลงลืมที่จะดูแลร่างกาย ใช้ชีวิตบนความเร่งรีบ เพื่อจุดมุ่งหมายในการสร้างฐานะและความมั่นคงในอาชีพการงาน จนลืมที่จะทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่มีเวลาการออกกำลังกาย หรือไม่มีแม้แต่เวลาในการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ซึ่งถ้าหากเรายังไม่เข้าสู่วัย 60 ปี เราอาจต้องลองสังเกตการใช้ชีวิตตอนนี้ว่าเป็นแบบไหน อาจจะช่วยให้เราฉุกคิดเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีในวัยสูงอายุของเราได้ครับ
ปัญหาสุขภาพเมื่อสูงวัยเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถทำความเข้าใจและเรียนรู้ถึงปัญหาสุขภาพต่างๆ เพื่อเตรียมตัวรับมือและป้องกันหรือชอละการเกิดโรคได้ครับ โดยปัญหาสุขภาพในวัยสูงอายุจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- ปัญหาสุขภาพโรคสามัญทั่วไป แม้ยังไม่สูงวัยก็สามารถเป็นได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคไต ซึ่งโรคต่างๆ เหล่านี้จะเกิดขึ้นควบคู่กันระหว่างการเสื่อมสภาพของระบบต่างๆภายในร่างกายและพฤติกรรมการทานและการใช้ชีวิตของเราเอง เมื่อสะสมมาเป็นระยะเวลานานทำให้เกิดโรคเหล่านี้ตามมาได้
- ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นเมื่อถึงวัยสูงอายุ ปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากความชราภาพของร่างกาย และผลข้างเคียงจากโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ ซึ่งปัญหาสุขภาพในผู้สูงอายุที่พบบ่อยมีดังนี้
1. ความเสื่อมของสติปัญญา มีอาการสับสนและสูญเสียความทรงจำ
ปัญหาสุขภาพดังกล่าวเกิดจากเซลล์สมองที่เริ่มเสื่อมและเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือดในสมองลดลง และการขาดสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อสมองบางชนิด ส่งผลให้ผู้สูงอายุเริ่มมีอาการหลงๆลืมๆ นอนไม่หลับ คิดหรือตัดสินใจช้าลง และหากมีปัญหาสุขภาพที่เฉียบพลัน เช่น การอักเสบติดเชื้อ หัวใจหรือสมองขาดเลือด ก็อาจทำให้เกิดอาการเพ้อ งุนงง สับสนได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อแก้ไขที่สาเหตุของการเจ็บป่วย อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้นได้
หากคนในครอบครัวหรือเราเองสังเกตอาการได้ว่า เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ พฤติกรรม และด้านการจดจำ เช่น เรียนรู้หรือจดจำสิ่งใหม่ๆ ลำบาก พูดซ้ำถามซ้ำ หลงหรือลืมทิศทาง ไม่อยากเข้าสังคมหรือพูดน้อยลง อารมณ์หรือนิสัยเปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงภาวะสมองเสื่อมได้
การป้องกันและการดูแล
1. ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินอาการและรับการรักษา
2. การทำกิจกรรมต่างๆ ที่กระตุ้นสมอง เช่น ทำงานหรือทำงานบ้านเท่าที่ทำได้ เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมกับครอบครัวและเพื่อนๆ อ่านหนังสือ เล่นเกม ออกกำลังกาย เป็นต้น
2.ภาวะกระดูกพรุน และข้อเสื่อม
ปัญหาข้อเสื่อม จะเกิดจากการใช้งานข้อมากเกินไป ทำให้เวลาขยับร่างกายเริ่มมีอาการปวดตามข้อและเคลื่อนไหวลำบากขึ้น ลุกนั่งก็ลำบาก ส่วนภาวะกระดูกพรุนจะเป็นภาวะที่ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าตัวเองเป็น เพราะแทบไม่แสดงอาการเลย จะทราบได้ก็ต่อเมื่อเราไปตรวจมวลกระดูก ซึ่งภาวะกระดูกพรุนเกิดจากเนื้อกระดูกที่บางลง ทำให้เปราะหักหรือยุบง่าย ส่วนใหญ่พบได้ในผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือนและผู้ชายอายุมากกว่า 70 ปี ถ้าหากผู้สูงอายุมีภาวะกระดูกพรุนต้องระมัดระวังเรื่องการหกล้มเป็นพิเศษเพราะหากล้มอาจถึงขั้นกระดูกหักได้เลย
การป้องกันและการดูแล
1. ผู้หญิงอายุมากกว่า 55 ปีและผู้ชายอายุมากกว่า 70 ปี ควรได้รับการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก ซึ่งจะบ่งบอกถึงความหนาบางของมวลกระดูกเมื่อเทียบกับค่ามวลกระดูกที่ปกติในผู้ใหญ่ทั่วไป
2. ควรตรวจระดับวิตามินดีในเลือดร่วมด้วย เนื่องจากวิตามินดีช่วยในการดูดซึมแคลเซียมที่รับประทาน หากพบว่ามีระดับที่ต่ำ ควรรับประทานวิตามินดีเสริม
3. ควรได้รับแคลเซียมจากอาหารหรือยาอย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
4. ออกกำลังกายประเภทลงน้ำหนัก เช่น เดิน วิ่ง ยกน้ำหนักเบาๆ
3. ปัญหาการทรงตัวและการหกล้ม
ปัญหาการทรงตัวหรือหกล้มมักเกิดขึ้นบ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง อัตราการหกล้มสูงถึง 30% ในแต่ละปี และสัดส่วนจะสูงขึ้นตามอายุการทรงตัวจะเสียไป ซึ่งสาเหตุการเกิดนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น ข้อเสื่อม กล้ามเนื้อลีบและอ่อนแรง โรคทางสมอง ความดันโลหิตตก เมื่อลุกขึ้นยืนจากท่านั่งหรือนอน หัวใจเต้นผิดจังหวะ ยาต่างๆ ที่มีผลต่อความดันโลหิตหรือทำให้ง่วง สภาพแวดล้อมที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ พื้นที่ลาดเอียง หรือลื่นเปียก เป็นต้น
การป้องกันและการดูแล
1. หลีกเลี่ยงยาที่ทำให้ง่วงซึมหรือความดันโลหิตตก
2. ออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเน้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการทรงตัว
3. ปรับสิ่งแวดล้อม เช่น เพิ่มไฟสว่าง พื้นกันลื่น มีราวจับ
4. ตรวจมวลกระดูกเพื่อประเมินหาโรคกระดูกพรุนและรับการรักษาตามความเหมาะสม
4. อาการนอนไม่หลับ
ผู้สูงอายุหลายท่านมักจะมีปัญหาคุณภาพการนอนที่เริ่มลดน้อยลง อย่างเช่น หลับยากขึ้น ตื่นง่ายและตื่นบ่อย หลับไม่ลึก รู้สึกตื่นมาไม่สดชื่นเหมือนพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยมีสาเหตุหลักๆมักจะมาจากสภาพร่างกายที่เปลี่ยนแปลงตามวัย รวมถึงอาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น ภาวะซึมเศร้า ความเครียด ความวิตกกังวล อาการปวดต่างๆ กรดไหลย้อน การสร้างฮอร์โมนที่ลดลง ปัญหาการหายใจหรือโรคนอนกรน ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ผลข้างเคียงจากยา ซึ่งทำให้บางท่านต้องหันไปใช้ยานอนหลับ ซึ่งถ้าหากใช้ยานอนหลับบ่อยเกินไปก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย และยิ่งทำให้เราหลับยากมากขึ้นเรื่อยๆครับ
การป้องกันและการดูแล
1. จัดห้องนอนให้มีบรรยากาศที่ช่วยให้หลับสบาย เช่น เงียบสงบ ใช้ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มที่มีสีไม่ฉูดฉาด
2. ปรับอุณหภูมิในห้องให้เหมาะสม ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป
3. พยายามนอนให้เป็นเวลาและสถานที่เดิมทุกวันเพื่อให้เกิดความเคยชิน
4. ไม่ควรเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำมากนัก เวลาที่เหมาะสมคือ 3-4 ทุ่ม และตื่นตี 4-5
5. พยายามดื่มน้ำให้น้อยลงหลังอาหารเย็น เพื่อลดการปัสสาวะตอนกลางคืน
6. ไม่ควรนอนกลางวันเป็นเวลานานๆ หากเพลียหรือง่วงจริงๆ อาจงีบได้บ้าง แต่ไม่ควรงีบหลังบ่าย 3 โมง เพราะจะทำให้กลางคืนหลับยาก
7. ปรึกษาแพทย์เพื่อทบทวนยาที่อาจทำให้นอนไม่หลับและรักษาต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ
5. ปัญหาอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ปัญหาเรื่องของการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่อาจเป็นปัญหาที่กวนใจสูงวัยหลายๆท่าน ทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจ ไม่อยากออกไปไหนเพราะกลัวเข้าห้องน้ำไม่ทัน ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนหรืออ่อนล้า กระเพาะปัสสาวะอ่อนไหวเกินไป ความบกพร่องในการควบคุมการกลั้นการขับถ่ายที่เกิดจากสมองหรือเส้นประสาท การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอด หรือทางเดินปัสสาวะฝ่อและอักเสบ หรือผลข้างเคียงของการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาคลายเครียด ยารักษาอาการซึมเศร้า หรือยารักษาความดันบางชนิด ยาขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมาก ก็อาจทำให้ปัสสาวะไม่ทันได้
การป้องกันและการดูแล
1. ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แก้ไขได้ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
2. ออกกำลังกายและขยับเขยื้อนให้กล้ามเนื้อร่างกายแข็งแรงขึ้น
3. ฝึกการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานวันละ 50-100 ครั้ง
4. ฝึกการกลั้นปัสสาวะโดยปัสสาวะเป็นเวลาและค่อยๆ ยืดเวลาระหว่างการปัสสาวะ เพื่อฝึกกระเพาะปัสสาวะให้สามารถกลั้นได้มากขึ้น
6. ปัญหาขาดสารอาหาร
ภาวะขาดสารอาหารมักเกิดบ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ปัญหาสุขภาพฟัน ภาวะกลืนลำบาก ความอยากอาหารน้อยลง ปัญหาเรื่องการดูดซึมสารอาหารในลำไส้ ผลข้างเคียงจากยาทำให้เบื่ออาหาร ภาวะซึมเศร้าหรือหลงลืมทำให้ไม่ดูแลโภชนาการตนเอง โรคเรื้อรังต่างๆ ที่ส่งผลต่อความอยากอาหาร เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับสารอาหารและพลังงานไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา เช่น การติดเชื้อ ป่วยง่ายหายยาก ภาวะกระดูกพรุน กล้ามเนื้อลีบลง และแขนขาอ่อนแรง
การป้องกันและการดูแล
1. ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แก้ไขได้
2. ตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ
3. จัดมื้ออาหารให้รับประทานร่วมกับผู้อื่น เช่น ครอบครัว เพื่อนฝูง
4. จัดเตรียมอาหารที่คำเล็ก ย่อยง่าย และมีความหลากหลาย
5. ปรึกษาแพทย์เพื่อทบทวนยาที่อาจทำให้เบื่ออาหารได้
6. ปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเรื่องการรับประทานอาหารเสริมทางการแพทย์ประเภทชงหรือพร้อมดื่มเพื่อเพิ่มพลังงาน
7. ปัญหาการได้ยิน
เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีความสามารถในการรับเสียงที่แย่ลง มักมีอาการหูอื้อหรือหูตึง ซึ่งเกิดจากการเสื่อมและตายของเซลล์ขนรับเสียง ในหูชั้นใน รวมถึงประสาทบริเวณหูชั้นในค่อยๆ สึกกร่อนหรือฉีกขาดไป ส่งผลให้ไม่ได้ยินช่วงเสียงแหลมความถี่สูง เช่น เสียงผู้หญิง เสียงดนตรีคีย์สูงๆ จากนั้นความเสื่อมจะค่อยๆ ลามไปถึงช่วงความถี่กลางซึ่งเป็นระดับของเสียงพูด ผู้สูงอายุจะเริ่มฟังไม่ชัดเจน ทำให้การสื่อสารกับผู้อื่นน้อยลงโดยไม่รู้ตัว
การป้องกันและการดูแล
1. หากมีปัญหาการได้ยินมาก ไม่ค่อยได้ยินเสียง (โดยเฉพาะเป็นทั้ง 2 ข้าง) ไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินด้วยการใช้เครื่องช่วยฟัง ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาได้ในระดับหนึ่ง
2. ลูกหลานควรปฏิบัติต่อผู้สูงอายุด้วยความเข้าใจ ด้วยการพูดคุยใกล้ๆ พูดช้าๆ ใช้เสียงทุ้มที่ดังกว่าธรรมดาและมีการสบตา เลือกยืนหรือนั่งพูดคุยในตำแหน่งที่ผู้สูงอายุสามารถเห็นปากผู้สนทนาได้อย่างชัดเจน เลือกสนทนาในสถานที่ที่ไม่มีเสียงรบกวน
8. ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาและการมองเห็น
ปัญหาเกี่ยวกับดวงตามักมาพร้อมกับอายุที่เพิ่มขึ้น โดยปัญหาเกี่ยวกับดวงตาที่พบได้บ่อย เช่น
- ภาวะตาแห้ง เกิดจากน้ำหล่อเลี้ยงมีไม่มากพอที่จะให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา ก่อให้เกิดการระคายเคืองและแสบตา
- ต้อกระจก เกิดจากการที่เลนส์ตาขุ่นจนแสงที่เข้ามาในตาลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการมองเห็น มีอาการตามัว เห็นภาพซ้อน ตาสู้แสงไม่ได้ หรือมองไฟแล้วเห็นเป็นแสงกระจาย
- ต้อหิน เกิดจากการเสื่อมของประสาทตา โดยมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องความดันลูกตาเป็นสำคัญ จัดเป็นภัยเงียบที่ผู้ป่วยอาจไม่ทันรู้ตัว ที่นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
- โรคจอประสาทตาเสื่อม เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และมักพบในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โรคจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก เกิดจากเส้นเลือดบริเวณจุดรับภาพมีความเปราะบาง แตกง่าย ทำให้มีเลือดออกที่จอประสาทตา ผู้ป่วยจะมีอาการตามัวแบบเฉียบพลัน ส่วนโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง มักไม่เกิดอย่างเฉียบพลัน แต่เกิดจากเซลล์จอตาจะเสื่อมลงอย่างช้าๆ จนสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
การป้องกันและการดูแล
1. ผู้สูงอายุควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง การตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
เป็นอย่างไรบ้างครับ กับ 8 ปัญหาสุขภาพที่สูงวัยต้องเจอ สูงวัยบางท่านอาจพบเจอปัญหาต่างๆเหล่านี้บ้างแล้วไม่มากก็น้อย แต่สำหรับท่านที่ยังไม่พบปัญหาเหล่านี้ก็อย่างเพิ่งชะล่าใจไปนะครับ ควรดูแลตัวเองและหมั่นตรวจร่างกายอยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวรับมือและเข้าใจสุขภาพมากขึ้น ไม่มองว่าเป็นโรคเวรโรคกรรมแต่มันคือผลของการกระทำของเราล้วนๆครับ
อ้างอิง
– ภาวะหูตึง ฟังไม่ค่อยได้ยินในผู้สูงอายุ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
– ผู้สูงอายุกับปัญหาสุขภาพ
– การดูแลผู้สูงอายุ
– ความผิดปกติของตาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ