ถึงแม้ว่าผิวหนังคนไทยจะประกอบด้วยเม็ดสีเมลานินมากมาย ที่คอยปกป้องผิวจากแสงแดด อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งผิวหนัง แต่อย่างไรก็ตามพบว่า ยังมีมะเร็งผิวหนังอีกชนิดหนึ่งที่มักเกิดในผู้สูงอายุ ซึ่งมีความน่ากลัว และมีอันตรายอย่างมาก มะเร็งผิวหนังในผู้สูงอายุที่ว่านั้นก็คือ “มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา (Malignant Melanoma)”

รู้จัก “มะเร็งผิวหนัง” ชนิดต่างๆ ให้มากขึ้น
โรคมะเร็งผิวหนัง เกิดจากความผิดปกติของการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ผิวหนัง โรคนี้สามารถเกิดได้จากการสัมผัสกับรังสีอัลตร้าไวโอเล็ตเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวขาวมาก เพราะมีเม็ดสีเมลานินในผิวหนังน้อย ทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดน้อยกว่าคนผิวคล้ำ โดยโรคมะเร็งผิวหนังที่พบบ่อย มี 3 ชนิด คือ
1. Basal Cell Carcinoma : เกิดจากเซลล์ในชั้นฐานของหนังกำพร้าแบ่งตัวผิดปกติ เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด มีลักษณะเป็นก้อนตุ่มนูน ขอบม้วน อาจมีสีดำหรือแตกเป็นแผล หรือเป็นผื่นแบนราบ พบบ่อยบริเวณที่ถูกแสงแดดมาก เช่น ใบหน้าและมือ มะเร็งชนิดนี้จะแพร่กระจายช้าและมักจะไม่มีการลุกลามไปส่วนอื่น หากรับการรักษาโรคสามารถหายขาดได้ครับ
2. Squamous Cell Carcinoma : เกิดจากเซลล์ในชั้นหนังกำพร้าแบ่งตัวผิดปกติ เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 มีลักษณะเป็นขุย มีสะเก็ด นูน แดง แตกเป็นแผลและเลือดออกง่าย พบบ่อยบริเวณที่ถูกแสงแดดมาก สามารถแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นได้ ถ้าตรวจพบในระยะแรก สามารถรักษาให้หายขาดได้
3. Malignant Melanoma : เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีแบ่งตัวผิดปกติ เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้น้อยที่สุด แต่ร้ายแรงและมีอัตราการตายสูงที่สุด มีลักษณะคล้ายไฝหรือขี้แมลงวัน หรือเป็นจุดสีดำบนผิวหนัง พบที่บริเวณผิวหนังและอวัยวะอื่นๆ สามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปตามต่อมน้ำเหลือง กระแสเลือดและไปยังอวัยวะต่างๆ ได้ พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราจะพูดคุยกันในวันนี้ครับ
สาเหตุของมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา
สำหรับสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา ก็คือ รังสีอัลตราไวโอเลตที่พบในแสงแดด แต่นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา ได้แก่
– เมื่ออายุมากขึ้น หรือในผู้สูงอายุ มีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาได้มากกว่า
– มีไฝจำนวนมากกว่า 50 จุด หรือไฝมีลักษณะผิดปกติ
– มีผิวขาวซีดและผิวหนังตกกระอย่างมาก
– มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งชนิดนี้ โดยเฉพาะญาติใกล้ชิด หรือเคยเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง (ชนิดอื่นๆ) มาก่อน
– เคยเข้ารับการรักษาด้วยรังสีบำบัด
– เคยได้รับแสงยูวีสังเคราะห์จากเครื่องมือหรืออุปกรณ์บางชนิด เช่น เตียงอาบแดด หลอดไฟแสงยูวี
– มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงเกิดมะเร็งผิวหนังได้หากสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานๆ
อันตรายของมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา
สำหรับมะเร็งผิวหนังในผู้สูงอายุ อย่างที่บอกไปแล้วว่า มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา (Malignant Melanoma) เป็นมะเร็งที่พบได้น้อย แต่รุนแรงมาก สามารถเกิดขึ้นได้ในส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เล็บ โคนเล็บ แขน ขา ลำตัว โดยมะเร็งชนิดนี้จะสังเกตได้จากไฝ ตุ่ม หรือก้อนสีดำเข้ม ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติในปี 2557 ระบุว่ามีผู้เป็นโรคมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา เพศหญิง 238 ราย และเพศชาย 215 ราย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่สูงเมื่อเทียบกับการเกิดที่ทั่วไปจะพบได้น้อย
ทั้งนี้ มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา สามารถแบ่งตามลักษณะของมะเร็งได้เป็น 5 ชนิด ดังนี้
1. ชนิดแผลตื้น พบได้บ่อยที่สุดโดยเฉพาะในคนที่มีผิวขาวมากและตกกระ มะเร็งชนิดนี้จะแพร่กระจายที่ผิวหนังชั้นนอกมากกว่า จึงมักไม่เป็นอันตราย แต่บางรายอาจกระจายลึกลงไปที่ผิวหนังชั้นอื่น และลามไปยังอวัยวะต่างๆ ได้
2. ชนิดตุ่มนูน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดงหรือดำที่มีเลือดและของเหลวซึมออกมา มักพบได้บริเวณศีรษะ คอ หน้าอก หรือหลัง มะเร็งชนิดนี้จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและสามารถแพร่กระจายลงไปในผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกได้ ซึ่งต้องรีบรักษาเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
3. ชนิดเลนทิโก มาลิกนา มักเกิดบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อยๆ เช่นที่ใบหน้า และพบได้ในผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพหรือทำกิจกรรมที่ต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน โดยระยะเริ่มต้นอาจมีลักษณะคล้ายกระบนใบหน้า แล้วขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเริ่มมีรูปร่างและสีที่ผิดปกติ พื้นผิวไม่สม่ำเสมอ จากนั้นจะค่อยๆ กระจายลงสู่ผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกลงไป และอาจก่อให้เกิดตุ่มนูนตามมาได้ครับ
4. ชนิดเกิดที่มือและเท้า เป็นชนิดที่พบได้น้อย มีลักษณะเป็นเนื้องอก ปื้นสีดำหรือสีน้ำตาลคล้ายกระ มักพบในผู้ที่มีผิวคล้ำ และเกิดขึ้นบริเวณฝ่ามือหรือฝ่าเท้าเป็นส่วนใหญ่
5. ชนิดไม่สร้างเม็ดสี ชนิดนี้พบได้น้อยและมีอาการที่เด่นชัด คือ ผิวหนังบริเวณที่เป็นมะเร็งจะไม่เป็นสีดำ แต่จะเป็นสีแดงหรือสีชมพู ลักษณะขอบแผลมีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทา และเกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย
มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา มีอาการอย่างไร?
เนื่องจากมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา มีลักษณะคล้ายคลึงกับไฝ ทำให้ในระยะเริ่มแรกผู้ป่วยจึงอาจคิดว่าเป็นไฝธรรมดา ดังนั้นจำเป็นต้องอาศัยการสังเกตความผิดปกติ ดังต่อไปนี้
– ไฝมีรูปร่างผิดปกติ และมีลักษณะที่แตกต่างกันมากปรากฏภายในไฝเม็ดเดียวกัน
– ไฝมีขนาดใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร และขอบไฝไม่เรียบ
– สีของไฝผิดปกติ มีหลายสีผสมกัน เช่น ครึ่งหนึ่งสีน้ำตาล อีกครึ่งหนึ่งสีดำ เป็นต้น
– ลักษณะของไฝเปลี่ยนแปลงไป เช่น มีสีหรือรูปร่างผิดไปจากเดิม มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการคัน หรือมีเลือดออกมาจากไฝ เป็นต้น
หากพบความผิดปกติไม่ว่าลักษณะใดก็ตาม อย่างนิ่งนอนใจครับ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะหากปล่อยไว้มะเร็งอาจแพร่กระจายไปสู่อวัยวะอื่นๆ และลุกลามร้ายแรงจนยากแก่การรักษาครับ
มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา กับ 6 วิธีรักษาทางการแพทย์
มะเร็งผิวหนังในผู้สูงอายุ เมื่อมีการตรวจยืนยันแล้วว่าเป็นมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา แพทย์จะเริ่มรักษาทันที ซึ่งจะเลือกวิธีการรักษาโดยพิจารณาจากระยะและขนาดของมะเร็ง รวมถึงพิจารณาจากสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยด้วยครับ
1. การผ่าตัดผิวหนัง แพทย์จะผ่าตัดนำผิวหนังส่วนที่เป็นมะเร็งออก และนำผิวหนังหรือเนื้อเยื่อผิวหนังส่วนอื่นมาปิดแทน วิธีนี้จะช่วยให้กำจัดเนื้อร้ายออกไปได้หมด แต่ต้องมีการติดตามเฝ้าระวังอาการหลังการรักษาอย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
2. การผ่าตัดต่อมน้ำเหลือง ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่ามีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง แพทย์จะตัดต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ผิวหนังบริเวณที่เป็นมะเร็งไปตรวจ หากพบการแพร่กระจายของมะเร็งแพทย์จะทำการตัดต่อมน้ำเหลืองที่เหลือออกด้วย
3. รังสีบำบัด ในกรณีที่มีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย แพทย์อาจใช้รังสีบำบัดในการกำจัดเซลล์มะเร็ง แต่มักทำหลังจากผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองออกแล้ว
4. เคมีบำบัด วิธีนี้เป็นการใช้ยาเพื่อช่วยยับยั้งและกำจัดเซลล์มะเร็งให้หมดไปจากร่างกาย มีทั้งยาชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำบริเวณแขนและขา และยาสำหรับรับประทาน โดยแพทย์อาจใช้แบบใดแบบหนึ่งหรือใช้ควบคู่กันก็ได้
5. ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการรักษาโดยให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ป่วยเองต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง โดยแพทย์จะฉีดสารเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และปล่อยให้ภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์มะเร็งเอง แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง คือ มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น หนาวสั่น เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เป็นต้น
6. การใช้ยาเจาะจงเซลล์มะเร็ง เป็นการใช้ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งและป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง แต่จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมียีนกลายพันธุ์เท่านั้นครับ
มะเร็งผิวหนังในผู้สูงอายุ ป้องกันได้อย่างไร?
สำหรับวิธีป้องกันมะเร็งผิวหนังในผู้สูงอายุ หรือมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา ที่ได้ผลที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดความเสียหายหรือเกิดความผิดปกติ ได้แก่
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแดดจ้าและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง
2. ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด สวมหมวก และแว่นตากันแดด หรือพกร่มกันแดดเมื่อต้องออกนอกบ้าน
3. สังเกตความเปลี่ยนแปลงหรือความผิดปกติของผิวหนังอยู่เสมอ หากมีกระ ไฝ ตุ่มเนื้อ หรือปานที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ และน้ำยาซักผ้าขาว เป็นต้น
5. หลีกเลี่ยงการอาบแดดหรือรับแสงจากหลอดไฟยูวีโดยไม่จำเป็น เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้มีรังสียูวีที่เข้มข้น จึงเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาได้
6. เลิกพฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น การสูบบุหรี่ หรือการนอนอาบแดดกลางแจ้งเป็นเวลานาน
7. หากมีญาติใกล้ชิดเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจคัดกรองมะเร็งชนิดนี้
8. ควรเลือกรับประทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ รวมทั้งธัญพืชที่มีสารต่อต้านมะเร็ง เช่น ส้ม แครอท มะเขือเทศ ถั่ว บล็อกโคลี่ คะน้า ผักปวยเล้ง สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ หรืออาจเลือกรับประทานอาหารเสริมที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี เป็นต้น
เพราะขึ้นชื่อว่า “โรคมะเร็ง” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับส่วนใดในร่างกายก็ล้วนแล้วแต่น่ากลัวด้วยกันทั้งนั้น มะเร็งผิวหนังในผู้สูงอายุ ก็เช่นเดียวกัน ที่ถึงแม้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่เชื่อเถอะครับว่า อันตราย 100%
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
– https://chulalongkornhospital.go.th/kcmh/line/มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา-พ/
– https://www.mediscicenter.com/skin-cancer
– https://www.pobpad.com/melanoma-มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา
– http://www.eldercarethailand.com/eldercare/บทความ/ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนังในผู้สูงอายุ