เอลเดอร์เชื่อว่าหลายๆคน โดยเฉพาะคนที่นอนร่วมกันกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ เพื่อน พี่น้อง ญาติ หรือคู่สมรส คงมักจะเจอปัญหานี้บ่อยครั้งนั่นคือ “เสียงกรน” ที่ดังสนั่นจนแทบนอนไม่ได้ เรียกได้ว่าใครหลับก่อนคนนั้นชนะเลยทีเดียว ซึ่งหลายๆคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ หาทางแก้ไม่ได้ และมองเป็นเรื่องปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการกรนอาจเป็นสัญญาณที่จะนำไปสู่ ”ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ” ได้เลยทีเดียว
สาเหตุการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) เกิดจากกล้ามเนื้อบริเวณลำคอ รวมถึงเพดานอ่อน เกิดการหย่อนหรือคลายตัวมากเกินไปส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงหรือถูกกดทับในขณะหลับ ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 10-20 วินาทีก่อนที่จะสะดุ้งตื่น และจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งในแต่ละคืน
กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- อายุ โดยปกติแล้วภาวะนี้พบได้ในทุกวัย แต่จะพบมาในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากอายุที่มากขึ้นทำให้ร่างกายเสื่อมลง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอคลายตัวมากกว่าปกติ
- เพศ เพศชายจะมีโอกาสเกิดมากกว่าเพศหญิงถึง 2 เท่า แต่สำหรับเพศหญิงวัยหมดประจำเดือนก็มีโอกาสเกิดสูงเช่นกัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- น้ำหนักตัวเกิน ซึ่งผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิดหรืออ้วนนั้นจะมีไขมันสะสมที่เนื้อเยื่อบริเวณลำดอ จะทำให้ทางเดินหายใจแคบลง หายใจลำบาก นำไปสู่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?
ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ถือว่าเป็นภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรละเลยอย่างยิ่งครับ เพราะภาวะดังกล่าวนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของโรคภัยต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ซึ่งอันตรายที่เกิดจากภาวะหยุดหายใจในขณะหลับนี้ เอลเดอร์ขออธิบายอย่างเป็นขั้นตอนให้เข้าใจง่ายๆนะครับ
โดยปกติแล้วการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายของเราจะถูกขับเคลื่อนด้วยออกซิเจน และร่างกายเราก็จะขับของเสียที่เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งก๊าซทั้ง 2 ชนิดนี้ ร่างกายของเรารับและปล่อยออกด้วยการหายใจใช่ไหมครับ แม้ในขณะที่เราหลับร่างกายก็ยังคงรับและปล่อยก๊าซอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับเกิดขึ้นแม้ใช้ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ส่งผลให้ร่างกายของเราเกิดภาวะออกซิเจนในเลือดลดลง มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงขึ้นเพราะหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานมากขึ้น และสมองจะสั่งการให้ร่างกายตื่นขึ้นจากการนอนหลับ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่บางคนสะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อยๆครับ
เมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยๆในแต่ละคืน ทำให้ผลที่ตามมาคือ เมื่อเราตื่นมาจะรู้สึกไม่สดชื่น เพลีย ไม่มีสมาธิ การจดจำไม่ดี เนื่องจากคุณภาพการนอนของเราไม่ดีนั่นเองครับ และในระยะยาวภาวะนี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน การดื้อต่ออิซูนลิน โรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง และหัวใจเต้นผิดจังหวะ เห็นแบบนี้แล้วหลายคนเริ่มสงสัยว่าตนเองเป็นหรือไม่ เราลองมาสังเกตอาการจากสัญญาณต่อไปนี้กันครับ
5 อาการบอกถึงสัญญาณอันตราย
- นอนกรนเสียงดัง และมักตื่นกลางดึกบ่อยๆเพราะหายใจไม่ออกหรือสำลัก
- ตื่นตอนเช้ารู้สึกไม่สดชื่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย แม้นอนเพียงพอ 6-8 ชั่วโมง
- ไม่มีสมาธิในการทำงาน ขี้หลงขี้ลืม หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้าหรือหดหู่ง่าย
- รู้สึกง่วงนอนมากผิดปกติในระหว่างวัน
- ตื่นนอนแล้วรู้สึกคอแห้ง เจ็บคอ
เมื่อตรวจสอบดูแล้ว หากพบว่าเรามีสัญญาณดังกล่าวนี้ ควรไปปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ครับ นอกจากนี้เราควรหันมาดูแลสุขภาพของตัวเองเพื่อป้องกันหรือเพื่อบรรเทาภาวะนี้ให้ลดลงได้ครับ เอลเดอร์ขอแนะนำวิธีง่ายๆ ดังนี้ครับ
- นอนในท่าตะแคงเพื่อเลี่ยงการเกิดกล้ามเนื้อทางเดินหายใจกดทับครับ
- พยายามควบคุมน้ำหนัก และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการทานยากกดประสาท เช่น ยานอนหลับ หรือยาคลายกล้ามเนื้อ
- เลิกสูบบุหรี่ และงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับวิธีป้องกันภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ทำตามได้ไม่อย่างเลยใช่ไหมครับ แต่นอกจากวิธีนี้แล้วหากไปรักษากับแพทย์อาจจะมีการแนะนำให้ใช้ เครื่องเป่าความดันลมเพื่อขยายทางเดินหายใจ (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) ซึ่งเป็นการสวมใส่หน้ากากที่บริเวณจมูกและปาก เพื่อช่วยส่งอากาศอย่างต่อเนื่องไปยังระบบทางเดินหายใจในขณะที่นอนหลับได้ครับ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก
https://bit.ly/3qQ0nzn
https://bit.ly/36ieEez
https://bit.ly/2VfOZ42
https://bit.ly/3Azdt8t